Reflection on my failure : Learn from the mistake and do not repeat it.


ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองเรียนปริญญาเอกที่ University of Alabama มาได้สามปีกับสามเดือนแล้ว ย้อนกลับไปนึกถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้นมาจากทั้งสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย แล้วก็นิสัยและบุคลิกของตัวเองที่ไม่ชอบพูดคุย ชอบเก็บตัว หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน ยิ่งไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะรอดมาได้ ตอนเรียนเทอมแรกบอกได้เลยว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองเคยคิดไว้เลย (โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมการเรียนที่ขัดกับนิสัยตัวเอง และการตั้งคำถามกับตัวเองว่ากูจะเรียนไปทำไมว่ะ-จะเขียนเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป) แต่เมื่อมีโอกาสและได้เลือกแล้ว ก็คงเดินถอยหลังไม่ได้ และก็พยายามเท่าที่ทำได้

สามปีมองย้อนกลับไป อย่างน้อยที่บอกตัวเองว่าได้จากการเรียนปริญญาเอกตอนนี้คือ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง เข้าใจอะไรมากขึ้น (แต่มันก็ทำให้เราไม่เชื่อในอะไรอีกเลยเช่นกัน) แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าตัวเองไม่ชอบระบบของ higher education (การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย) ไม่ชอบสังคมของ academia (สังคมของนักศึกษา อาจารย์ ในระดับ graduate ) เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ทำไมสังคม โลกจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมเราจึงทำอะไรกับมันไม่ได้ ในเรื่องการเรียนการทำงาน ได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างมีอุปสรรค มีขั้นตอนของมัน เราต้องใจเย็น ทำความเข้าใจทุกอย่างรอบๆตัวเรา ทุกอย่างมีทางออกเสมอ กับหลายเรื่องที่เจอทั้งการเรียนแล้วก็ชีวิต ก็คงบอกว่าการเรียนในระดับนี้ในต่างประเทศคงไม่ดีต่อสุขภาพจิตนัก เครียด เหงา ก็เป็นโรคซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง ดื่มแล้วก็ต้องกินยานอนหลับทุกวันอยู่ช่วงหนึ่ง กว่าจะกลับมานอนได้ปกติก็ประมาณครึ่งปี ในเรื่องการเรียนก็มีช่วงที่ท้ออยู่เรื่อยๆกลัวนั้นกลัวนี้ไปทุกเรื่อง กลัวว่าจะไม่จบ จะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ว่ะ 55+ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ทุกครั้ง แต่แน่นอนความยาก ความท้าทาย ก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน สามเดือนที่ผ่านมา เป็นอีกช่วงที่รู้สึกแย่มาก ทำอะไรไม่ได้ ไม่อยากทำอะไร ลองมาร้อยแปดวิธีแล้วก็ไม่ดีขึ้น ขี้เกียจมากไปก็ไม่ดี เครียดไปก็ไม่ดี พยายามบอกตัวเองทุกวันว่า พรุ่งนี้ก็ทำได้ แต่ก็เป็นอย่างนี้มาเกือบสามเดือนแล้ว

ตอนนี้ก็เลยอยากกลับมาคิด ทบทวนอะไรหลายๆอย่างดู แล้วเขียนอะไรถึงตัวเองดู เพื่อจะสร้างแรงกระตุ้นให้อยากทำงานให้ตัวเองได้ เรื่องหนึ่งที่ชอบคิดถึงอยู่เสมอคือความล้มเหลวในการเรียนปริญญาโท รอบแรกที่ มทส สอบ comprehensive exam ผ่านแล้วเหมือนกัน อยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกัน แน่นอนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกในการเรียนปัจจุบัน ลองมาย้อนทบทวนดูว่าทำอะไรไปบ้างเมื่อเกือบสิบกว่าปีที่แล้ว

รอบแรกสอบเพื่อเรียนต่อปริญญาโทที่ มทส ในสาขา ภาษาอังกฤษศึกษา ได้หลังทำงานได้หนึ่งเทอม ลาเรียนแค่ศุกร์เย็นแล้วก็วันเสาร์ อาทิตย์ แต่มีปัญหากับฝ่ายธุรการของโรงเรียนเขาบอกว่าไปเรียนไม่ได้ ผอ. ต่อโทรศัพท์ ให้คุยกับทางกระทรวงเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ ต้องผ่านการทดลองงานก่อนจนครบหนึ่งปีก่อน ความพยายามครั้งแรกก็ถือว่าจบไป รอจนผ่านทดลองงานแล้วก็ไปสอบใหม่และก็ได้ในปีถัดไป ไปเรียนวันศุกร์ ออกจากโรงเรียนประมาณ 9 โมงครึ่ง เพื่อไปต่อรถไฟที่บุรีรัมย์เที่ยว 11 โมง ไปถึงโคราช บ่ายสองต่อรถเมลล์เพื่อเข้าไปให้ทันเรียนบ่ายสี่โมงสอบได้ครั้งนี้มีคนเรียนแค่ 2 คน 55+ เพราะสอบได้แค่นั้น เพื่อน ไม่ใช่สิ พี่แกเป็น brother ของ โรงเรียนอัญสัมชัญโคราชเป็นบาทหลวงที่เป็นผู้บริหาร แต่ก็ยังหนุ่มอยู่ เรียนกันสามวิชาผ่านพ้นไปได้เทอมแรกแบบโครตเครียดช่วงโปรเจ็คสุดท้ายจำได้ว่าไปพักในโรงเรียนอัญสัมชัญโคราชพี่แกจัดห้องทำงานให้หนึ่งห้อง ตอนไป present โปรเจคจำได้ว่าเออมากไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วมันฮาตรงฟังกันอยู่สองคน อาจารย์กับพี่แกสุดท้ายก็ผ่านพ้นด้วยเกรด 3.33

ส่วนเรื่องที่พักวันศุกร์กับวันเสาร์จำไม่ได้ว่าพักที่ไหนช่วงแรกๆ(จำได้แล้วไปพักกับพี่ก้องน้องอาจารย์กุ้ง แถวเขตอุตสาหกรรม มันไกลไปแล้วแกก็เป็นขาเที่ยวอีก ชอบได้ไปนอนเฝ้ารถให้แก) จำได้แต่ว่าช่วงหลังพักโรงแรม คล้ายห้องเช่ามากกว่า แถวไนท์พลาซ่า คือละ 153 บาท หรือ 163 บาทนี่แหละช่วงเทอมที่สองพี่ brotherแกต้องย้ายจากอัญสัมชัญโคราชไปชลบุรีสุดท้ายก็เลยเลิกเรียนเหลือคนเดียว ก็เลยได้รู้จักกับพี่อีกคนที่เข้ามาในเทอมสอง เป็นลูกคนรวยในเมืองโคราช เป็นเพลย์บอยเลยแหละประมาณอาเสี่ยเลี้ยงนักร้อง เป็นช่วงเวลาที่ได้เจออะไรแปลกๆเยอะเทอมสองขี่มอเตอร์ไซด์ไปจอดไว้ที่บ้านเพื่อนที่บุรีรัมย์ขากลับก็เลยสะดวกหน่อย กลับถึงดึกก็ขี่มอเตอร์ไชต์กลับต่อได้เลย

บางครั้งก็ถึงตอนเย็นวันอาทิตย์บางครั้งก็เป็นตอนกลางคืนวันเสาร์เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งตี 1 แล้ววันนั้นไปดื่มกลับเพื่อนมาฉลองปิดเทอม ว่าง่ายคือเมาขับรถ กินเลนตลอดแล้วก็หลับในด้วย โชคดีที่เอาตัวรอดมาได้ สองเทอมต่อมาที่เรียนกลับพี่คนนี้ส่วนใหญ่จะได้กลับคืนวันเสาร์ ตอนกลางคืนแกก็พาไปผับ คาราโอเกะ ไม่เคยไปก็ได้ไป แต่ไปนั่งหลับนะจำได้ครั้งหนึ่งนักร้องที่เพื่อนมันให้มานั่งด้วย ด่า จะนอนจะมาเที่ยวทำไมว่ะ (กูไม่ได้อยากมาหรอก 55+)  แล้วก็มีปัญหาในเทอมหนึ่ง เครียดมาก จนต้องถอนวิชาเรียนสองวิชาก็เลยเป็นปัญหาตามมาอีกหลายเรื่อง จำได้มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องขี่มอเตอร์ไซด์จากสตึกไปโคราช เพื่อไปสอบปลายภาคเพราะไปไม่ทันรถไฟ ถ้าไม่ขี่ไปเองก็ไม่ทันสอบ ขี่ไปก็กลัวตำรวจไปแต่ก็ไปทันสอบพอดี กลับมาถึงบ้านพักที่โรงเรียน 6 โมงเย็นอีกอย่างหนึ่งที่นึกออกมีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ที่ภาควิชาที่เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักคนหนึ่งบอกว่าตอนกลางคืนวันศุกร์เรียนแล้วก็นอนที่ห้องทำงานแกก็ได้ก็เลยลองดูแต่ต้องอยู่แบบหลบๆ เพราะจะมียามมาเดินตรวจแต่ก็ประหยัดเงินไปได้ 55+

ผ่านไปหนึ่งปี เรียน coursework หมด แล้วก็ต้องสอบ Comprehensive Exam ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รอบแรกไม่ผ่านทั้งคู่ ต้องสอบสัมภาษณ์ แล้วก็ผ่าน ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดก็คือตอนทำ proposal วิทยานิพนธ์เปลี่ยนเรื่องอยู่สองครั้ง แล้วก็มีปัญหาเรื่องที่ปรึกษา สุดท้าย ได้เลื่อนสอบออกไปหนึ่งรอบ ไม่ทันอยู่ดี ก็เลยลาออก (เหมือนเขาบีบให้ออกแต่จริงๆเรานั้นแหละที่เป็นต้นของปัญหาทุกอย่าง ไม่กล้าคุยกับเขาไม่มีความคืบหน้าในงาน) เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก รู้สึกแย่มากๆช่วงหนึ่งของชีวิต หาข้อแก้ตัวให้กับความล้มเหลวตัวเองยกใหญ่(เวลาเด็กรุ่นนั้นมันกลับมา มันชอบถามว่าจบแล้วเหรออาจารย์ รู้สึกแย่มาก) แต่ไม่นานนักก็เริ่มอยากกลับมาแก้ตัวใหม่ สมัครทั้งของ มข แล้วก็ของ มธ ของ มข เลือกแผนที่ทำวิทยานิพนธ์ที่เขารับแค่สองคน แล้วก็สอบได้ ไปขึ้นทะเบียนไปถ่ายบัตร เสียเงินแล้วจำนวนหนึ่ง แล้วก็รอผล มธ ด้วยเพราะไม่แน่ใจเท่าไหร่ ตอนไปสอบนอนหลับไปเป็นชั่วโมง แต่ก็ผ่านเฉย สอบสัมภาษณ์ก็โอเค จนประกาศผลออกมาว่าได้ ก็ตัดสินใจไปเรียนกรุงเทพดีกว่ามันสะดวกกว่าหลายเรื่อง

จากบทเรียนราคาแพงครั้งนั้น ทำให้จบปริญญาโทที่ มธ ได้ด้วยเวลาสองปี (มีโอกาสจะเขียนเล่าให้ฟัง) และก็ทำให้มีโอกาสในวันนี้ ตอนนี้ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกคือ ล้มเหลวในการเรียนปริญญาเอกรอบแรก เพื่อให้ผ่านในรอบสอง เพราะครั้งนี้คงไม่มีรอบสองอีกแล้ว

Comments

Popular Posts